แคสเปอร์สกี้แนะ 7 เคล็ดลับดูแลเด็กให้ปลอดภัยออนไลน์-ออฟไลน์

Spread the love

 

ภาคการศึกษาแรกของประเทศไทยสิ้นสุดในช่วงเดือนตุลาคม และจะเริ่มเรียนภาคเรียนที่สองช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน สำหรับเด็ก ๆ แล้วการปิดเทอมคือสวรรค์ที่เด็ก ๆ จะได้เพลิดเพลินกับกิจกรรมทั้งในร่มและกลางแจ้ง และไม่ต้องสงสัยเลยว่าในยุคดิจิทัลเช่นนี้

 

งานอดิเรกสุดโปรดของเด็ก ๆ ก็คือการเล่นสมาร์ตโฟน และติดอยู่หน้าจอเกือบตลอดเวลา เชื่อมต่อโซเชียลเน็ตเวิร์ก ดูสื่อต่าง ๆ บน YouTube และเล่นเกมออนไลน์

 

แต่สำหรับผู้ปกครองแล้วสถานการณ์นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง พ่อแม่ส่วนใหญ่อยากให้ลูกไปโรงเรียนทุกวัน เพราะในช่วงปิดเทอม พ่อแม่ต้องใช้เวลาดูแลบุตรหลานเพิ่มขึ้น หรือหาคนมาช่วยดูแลเพราะพ่อแม่ต้องทำงาน ผู้ปกครองต้องวางแผนกิจกรรมเพื่อเด็ก ๆ เพิ่มเติม

 

รวมถึงพาครอบครัวท่องเที่ยว เพื่อไม่ให้เด็ก ๆ เบื่อการอยู่ในบ้านและเริ่มอาละวาดงอแง ผู้ปกครองจำนวนมากทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย ยังใช้วิธีเดิม ๆ คือยื่นสมาร์ตโฟนให้เด็ก ๆ อยู่กับหน้าจอเพื่อต่อเวลาความสงบเงียบที่บ้านสักสองสามนาที หรือระหว่างการเดินทางอันยาวนาน

 

ทั้งนี้ การดูแลเด็ก ๆ ให้ปลอดภัยทางออนไลน์ถือเป็นประเด็นสำคัญสำหรับผู้ปกครอง จากการสำรวจเด็กไทยและความเสี่ยงทางออนไลน์ที่จัดทำโดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม 2565

 

พบว่าเด็กไทยอายุ 9 – 18 ปีจำนวน 81% มีแท็บเล็ตหรือสมาร์ตโฟน เด็กจำนวน 85% ใช้โซเชียลมีเดียเป็นประจำทุกวันหรือเกือบทุกวัน และเด็ก 75% เล่นเกมทางอินเทอร์เน็ต

 

ผลการสำรวจสำคัญที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงทางอินเทอร์เน็ตอื่น ๆ ได้แก่ 54% ดูสื่อลามก 36% เคยจีบกันทางออนไลน์ 26% เคยเปิดวิดีโอคอลทางเพศ 26% ถูกรังแกทางออนไลน์ 12% ถูกล่อลวงทางออนไลน์ (กรูมมิ่ง) 11% ถูกล่วงละเมิดทางเพศ 11% เคยเข้าเว็บไซต์ที่ผิดกฎหมายหรือเป็นอันตราย 7% เล่นการพนันออนไลน์

 

ดังนั้น การสอดส่องดูแลและสร้างความตระหนักรู้ด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้กับเด็ก ๆ ถือเป็นความรับผิดชอบอย่างสูงของผู้ปกครอง เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมทางดิจิทัลที่ดีของบุตรหลานและดูแลเด็ก ๆ ให้ปลอดภัยจากภัยคุกคามออนไลน์

 

นางสาวเบญจมาศ จูฑาพิพัฒน์ ผู้จัดการประจำประเทศไทยของแคสเปอร์สกี้ กล่าวว่า “การวิจัยของแคสเปอร์สกี้นั้นชัดเจนว่าทุกคนมีความเสี่ยงต่อการหลอกลวงและภัยคุกคามออนไลน์ ผู้ก่อภัยคุกคามไม่สนใจว่าคุณจะอายุเท่าไร หรือเป็นใครมาจากไหน ทุกคนคือเหยื่อในเกม

 

วิธีเดียวที่จะหยุดยั้งการตกเป็นเหยื่อภัยออนไลน์ได้คือ การให้ความรู้การศึกษาที่ดีขึ้นที่มากยิ่งขึ้น เพื่อให้คนทุกวัยรู้จักสังเกตและหลีกเลี่ยงกลโกงการหลอกลวงที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันได้

 

แคสเปอร์สกี้ขอแนะนำเคล็ดลับเพื่อสร้างความสงบสุขในครอบครัวช่วงปิดเทอม และช่วยให้เด็กๆ ลดการพึ่งพาหน้าจอสมาร์ตโฟนเพื่อความบันเทิงและลดความเสี่ยงออนไลน์ ดังนี้

 

1. กำหนดขีดจำกัด – สร้างกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับการใช้เวลาอยู่หน้าจอและปฏิบัติตามกฎเหล่านั้น เช่น จำกัดเวลาไว้สองถึงสามชั่วโมงต่อวัน

 

2. ส่งเสริมกิจกรรมทางเลือก – แนะนำให้เด็ก ๆ รู้จักกับกิจกรรมออฟไลน์อื่น ๆ มากมายที่สามารถสร้างความสนุกสนานเพลิดเพลินได้ ส่งเสริมงานอดิเรก เช่น อ่านหนังสือ วาดรูป เล่นเครื่องดนตรี หรือทำกิจกรรมออกกำลังกาย เช่น กีฬาหรือเกมกลางแจ้ง

 

3. ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง – แสดงให้บุตรหลานเห็นว่า ผู้ปกครองก็ยินดีที่จะแยกตัวออกจากหน้าจอเช่นกัน สร้างเวลาคุณภาพร่วมกันในครอบครัวโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใดๆ เช่น เล่นเกม หรือไปเที่ยวสวนสาธารณะ

 

4. สร้างโซนปลอดเทคโนโลยี – กำหนดให้บางพื้นที่ในบ้านของคุณ เช่น ห้องนอนหรือห้องรับประทานอาหาร เป็นโซนปลอดเทคโนโลยี ซึ่งจะช่วยสร้างขอบเขตที่ดีและส่งเสริมการสื่อสารระหว่างกันในครอบครัว

 

5. จัดหาทางเลือกอื่นเพิ่มเติม – เสนอแหล่งความบันเทิงทางเลือกอื่น ๆ เช่น เกมกระดาน เกมปริศนา อุปกรณ์ศิลปะและงานฝีมือ หรือหนังสือที่สอดคล้องกับความสนใจของบุตรหลานของคุณ

 

6. มีส่วนร่วมในกิจกรรมร่วมกัน – การเข้าร่วมกิจกรรมที่ลูกชื่นชอบจะช่วยกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัว และเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ ได้สัมผัสกับความสุขที่ไม่ใช่ดิจิทัล

 

7. ส่งเสริมการเล่นกลางแจ้ง – ส่งเสริมให้บุตรหลานใช้เวลานอกบ้าน เช่น ขี่จักรยาน เล่นในสวนสาธารณะ หรือร่วมทีมแข่งขันกีฬา

 

ทั้งนี้โปรดจำไว้ว่า สิ่งสำคัญคือการสื่อสารกับบุตรหลานถึงเหตุผลในการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เหล่านี้ และให้เด็กๆ ได้มีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ ผู้ปกครองควรอดทนและให้กำลังใจเด็กๆ ในการเปลี่ยนแปลงนี้

 

“ตอนนี้เราอยู่ในสังคมที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล เด็ก ๆ คืออนาคตของเรา และยังมีอีกหลายสิ่งที่ผู้ใหญ่ต้องทำทั้งที่โรงเรียนและที่บ้าน เพื่อสอนเด็กๆ ถึงวิธีการออนไลน์อย่างปลอดภัย ถึงแม้ว่าเด็กๆ มักจะเชื่อว่าตนนั้นมีความรู้และทักษะเพียงพอในการป้องกันตัวเอง แต่แท้จริงแล้ว เด็กและเยาวชนก็ยังคงตกเป็นเหยื่อของกลโกงฟิชชิงที่ง่ายที่สุด และเนื่องจากข้อมูลของผู้ใช้ในโลกออนไลน์มีมากขึ้น ภัยคุกคามจึงมีความซับซ้อนมากขึ้นเช่นกัน”

Scroll to Top