รีวิวนิสสันอัลเมร่าหน้าใหม่ แต่งตัวใหม่ออปชันมากขึ้น น่าใช้มากกว่าเดิม

Spread the love

 

กระแสรถยนต์ไฟฟ้ามาแรงมาก แต่ในระดับราคาประมาณ 5-6 แสนบาท รถที่มีขนาดกำลังดีสำหรับ 4 คน กว้างขวางนั่งสบาย และแรงนั้น ตัวเลือกของรถยนต์ไฟฟ้าในราคานี้ไม่มีให้เลือก ที่มีก็จะมีขนาดเล็กกว่าและไม่ได้แรง

 

ดังนั้นในเวลานี้หากต้องการรถที่กล่าวถึงในข้างต้นก็ต้องหันมาหารถยนต์เครื่องสันดาป ที่มีตัวเลือกกันหลากหลายกว่า และแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือ Nissan Almera Minorchange

 

แม้ Nissan Almera จะไม่ใช่รถใหม่สดแล้วในตลาด แต่นิสสันก็ต้องแต่งหน้าทาปากใหม่ และใส่ออปชันมาเสริม เพิ่มเติมจากเดิมที่เรียกได้ว่าคุ้มค่าที่สุดในตลาดแล้ว โดยความเปลี่ยนแปลงของ Nissan Almera Minorchange ได้ทำการเปลี่ยนดีไซน์กระจังหน้า เป็นแบบ V-Motion Grille เวอร์ชั่นใหม่ เปลี่ยนโลโก้ Nissan รอบคัน

 

 

แต่โดยส่วนตัวต้องบอกว่าในรูปภาพที่เคยเห็นมารู้สึกว่าไม่สวย แต่ตัวจริงสวยกว่า ดูแพงขึ้นมากกว่าที่จะสปอร์ตโฉบเฉี่ยวแบบรุ่นก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ยังทำการเพิ่ม เพิ่มสีตัวถังใหม่ สีเทานม Grey Sky Pearl และยกเลิกสีตัวถัง สีส้ม Monarch Orange ซึ่งออกมาในเวอร์ชันแรกออกไป ซึ่งสีนี้ก็จะทำให้ดูดีและละมุนตามากขึ้น แต่ที่เราได้นำมาทดสอบกับนี้เป็นสีขาว Strom White

 

ส่วนภายในรถนั้นก็จะ เปลี่ยนกุญแจรีโมท ดีไซน์ใหม่ เปลี่ยนวัสดุตกแต่งแผงแดชบอร์ดด้านหน้า วัสดุสีน้ำเงินเข้ม (เฉพาะรุ่น V และ VL) แอบจะคล้าย ๆ เวอร์ชั่นออเทคของนิสสัน Kicks ล่ะ การปรับปรุงในครั้งนี้จัดได้ว่าดูดีและดูแพงขึ้นมามากเลยทีเดียว

 

ส่วนพวงมาลัยก็เปลี่ยนวัสดุหุ้มให้เป็นหนังที่มีความนุ่มขึ้น จับแล้วให้ผิวสัมผัสที่ดี ไม่กระด้างมืออันอ่อนโยนของเรา แถมยังเปลี่ยนกระจกมองหลังเป็นแบบไร้กรอบทำให้การมองด้านหลังดูดี ดูแพงขึ้น เพราะขอบกระจกแบบนี้ส่วนใหญ่จะมีในรถหรูหราราคาแพง ซึ่งอันนี้ก็เหมือนกับเป็นของตกแต่งเพิ่มเติมที่ทำให้ภายในดูดีขึ้นไปอีก

 

 

การออกแบบของรถญี่ปุ่นที่ทำตลาดในเมืองไทยมานาน ก็แน่นอนว่าจะมีการพัฒนาให้การจัดวางต่าง ๆ ใช้งานง่าย วัสดุที่ใช้มีความทนทาน และมีช่อง ซอก หรือลิ้นชักที่เราสามารถใช้งานได้จริงจัง ไม่ว่าจะเป็นแผงบังแดดด้านหน้า พรอมกระจกแต่งหน้า ทั้งฝั่งคนขับและผู้โดยสาร

 

ช่องเก็บเอกสารหลังเบาะผู้โดยสารตอนหน้า ไฟอ่านแผนที่ด้านหน้า ช่องวางแก้วตอนหน้า 2 ตำแหน่ง ช่องวางขวดน้ำ บริเวณแผงประตูหน้า-หลัง 4 ตำแหน่ง กล่องเก็บของด้านหน้า

 

ในส่วนของระบบอื่น ๆ ก็อย่างเช่นการเพิ่มระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control ช่วยให้การขับสบายขึ้น แถมยังช่วยให้เราสามารถประหยัดได้มากกว่าเดิม ด้วยการขับรถในความเร็วคงที่แบบไม่ต้องเกร็งเท้าช่วยเหมือนในอดีต และยังมาพร้อมกับแท่นชาร์จโทรศัพท์ไร้สาย Wireless Charger ที่รถยุคใหม่นี้ควรจะมี ถึงแม้ตัวเจ้าของจะยังใช้มือถือที่ชาร์จแบบเสียบสายก็ตาม

 

 

ส่วนตัวที่ชอบในการเพิ่มออปชันครั้งนี้คือการเพิ่มระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ High Beam Assist (HBA) ที่ช่วยได้มากในยามค่ำคืน ทำให้เราไม่ต้องกังวลในเรื่องของการเปิดปิดไฟในการขับรถ โดยเฉพาะในทางโค้ง หรือบนถนนที่มีรถสวนมา เพราะระบบจะจัดการให้หมด แต่จะทำงานแบบเสถียรจนน่าชื่นชมแค่ไหน อันนี้ยังไม่ได้ลองแบบนาน ๆ แต่ภาพรวมก็ถือได้ว่าใช้งานได้ดี

 

นอกจากนี้ยังมี ไฟหน้าแบบ LED พร้อม LED Signature Light พร้อมระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์จากกุญแจรีโมท (Remote Engine Start) เพิ่มความสะดวกสบายมากขึ้นไปอีก

 

สำหรับความปลอดภัยที่ค่อนข้างมากมายอยู่แล้วมารอบนี้ก็เพิ่มให้อีก ทั้งเพิ่มระบบโทรฉุกเฉิน SOS และเพิ่มระบบแจ้งเตือนเมื่อออกนอกช่องทาง Lane Departure Warning (LDW) และที่สำคัญคือ เพิ่มระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง Tire Pressure Monitoring System (TPMS) ที่ช่วยได้มากเวลาจิตตกในการเดินทางไกล ว่าลมยางมีเท่าไรแล้ว และ 4 ล้อเท่ากันไหม อันนี้ตอบโจทย์คนคิดมากได้ดี

 

ราคาที่เพิ่มขึ้นมา 24,000 – 44,000 บาท กับสิ่งที่ให้เพิ่มมาถือว่าคุ้มค่ามากทีเดียว สำหรับการเป็นรถคันแรกที่มีราคาน่าคบหา

 

 

เครื่องยนต์ ขนาด 1.0 ลิตร พร้อมระบบอัดอากาศ Turbocharger พร้อม Intercooler กำลังสูงสุด 100 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 152 นิวตันเมตร ที่ 2,400 – 4,000 รอบ/นาที รองรับน้ำมันสูงสุด Gasohol E20 และมีความจุถังน้ำมันแค่ 35 ลิตร

 

พลังจากเครื่องยนต์ให้กำลังการออกตัวและการเร่งแซงที่ดีในทุกย่านความเร็ว ประกอบกับการจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ XTronicCVT พร้อม D-Step Logic ขับเคลื่อนล้อหน้า ก็ทำให้การขับขี่มีความลงตัว ลื่นไหลไม่สะดุดอาจจะไม่ปรู๊ดปร๊าดเหมือนกับคู่แข่ง แต่ก็แรงเกินหน้าเกินตารถในเซ็กเมนต์เดียวกันอีกหลายรุ่น หรือแม้แต่น้องออลนิวที่ไม่ได้โมมา ก็เชื่อแน่ว่าอัลเมร่าจะสามารถฉีกหนีได้แบบเนียน ๆ

 

ช่วงล่างด้านหน้า แบบอิสระ MacPherson Strut พร้อม Coil Spring จาก Tokico และ เหล็กกันโคลง ช่วงล่างด้านหลัง แบบคานบิด Torsion Beam พร้อม Coil Spring จาก Tokico และเหล็กกันโคลง

 

ด้วยช่วงล่างที่เซ็ตมาดีและทำให้ขับสนุก ถึงแม้น้ำหนักรถจะเบาสักหน่อยอยู่ที่ 1,070 – 1,079กิโลกรัม แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาในการซอกแซกและซอกซอนไปบนท้องถนนที่มีการจราจรแออัด แถมการขับขี่ในช่วงความเร็วสูง ๆ ก็ไม่ได้ย้วย ยวบยาบ เหมือนกับเจ้าตลาด เรียกได้ว่ามั่นใจได้ในระดับที่ดีทีเดียว

 

พวงมาลัยเป็นแบบ Rack and Pinion พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า EPS (Electronic Power Steering) รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด อยู่ที่ 5.2 เมตร ให้ความรู้สึกที่ดี อาจจะเบาไปหน่อยถ้าขับในช่วงความเร็วสูง ๆ แตถ้าความเร็วต่ำหรือกลางก็ไม่เป็นปัญหาเท่าไร

 

ด้วยความเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบ DOHC 12 วาล์ว ซึ่งอาจจะมีสั่น ๆ ในรอบเดินเบาให้พอรู้สึกบ้าง แต่ก็ให้ความประหยัดได้ดีในช่วงที่รถติด ๆ เพราะไม่ได้ใช้สูบเยอะ

 

 

มิติตัวถังยาว 4,495 มิลลิเมตร กว้าง 1,740 มิลลิเมตร สูง 1,460 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 2,620 มิลลิเมตรความกว้างล้อคู่หน้า / หลัง 1,625 / 1,635 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดใต้ท้องรถ 135 มิลลิเมตร ส่วนล้ออัลลอย ขนาด 15 นิ้ว กับยางขนาด 195/65 R15 ถ้ารู้สึกไม่มั่นใจหรือไม่สวย ก็ไปหาขอบที่ใหญ่กว่ามาใส่กันได้ แต่ต้องไม่ลืมว่ายางหน้ากว้างแม็กวงใหญ่ อัตราการบริโภคน้ำมันก็ต้องเพิ่มตามไปด้วย

 

กระจังหน้าแบบโครเมียม กันชนหน้า-หลัง สีเดียวกับตัวรถ มือจับประตูด้านนอกสีเดียวกับตัวรถ ไฟหน้า LED พร้อม LED Signature Light ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ ไฟตัดหมอกคู่หน้า LED ไฟท้ายแบบ Signature Light พร้อมไฟเบรกแบบ LED ไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED

 

วัสดุตกแต่งแผงแดชบอร์ดด้านหน้า วัสดุสีน้ำเงินเข้ม แผงประตูคู่หน้า ประดับด้วยหนังสังเคราะห์ แผงประตูคู่หน้าและหลัง ตกแต่งด้วยหนังสังเคราะห์ แบบเดินตะเข็บ ตกแต่งบริเวณหัวเกียร์ ด้วยวัสดุสีเงิน ตกแต่งช่องแอร์ด้านข้างด้วยวัสดุ Trim สีเงิน และสีดำ Piano Black ตกแต่งคอนโซลกลางด้วยวัสดุ Piano Black เบาะหนังสังเคราะสีดำ เบาะนั่งคนขับปรับระดับสูง – ต่ำได้

 

 

ระบบปัดน้ำฝนด้านหน้าแบบตั้งเวลาหน่วง ระบบไล่ฝ้ากระจกหลัง กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวสีเดียวกับตัวรถ ปรับและพับด้วยสวิตช์ไฟฟ้า เสาอากาศแบบฝังในกระจกหลัง กุญแจรีโมท Intelligent Key ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ Push Start กระจกหน้าต่างไฟฟ้า ระบบป้องกันการหนีบ Jam Protection เฉพาะด้านคนขับ เครื่องปรับอากาศ แบบอัตโนมัติ

 

มาตรวัดเรืองแสง Fine Vision Meter แบบ Digial พร้อมหน้าจอ MID แบบสี TFT ขนาด 7 นิ้ว สวิตช์ควบคุมหน้าจอ MID บนก้านพวงมาลัย มาตรวัดอุณหภูมิภายนอก หน้าจอระบบความบันเทิงแบบสัมผัส Touchscreen ขนาด 8 นิ้ว เครื่องเล่นวิทยุ AM/FM พร้ะม ช่องเชื่อมต่อต่อ USB และ AUX-IN

 

ระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์ไร้สายผ่าน Bluetooth ระบบเชื่อมต่อ Smartphone ทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto แบบมีสาย และลำโพง 6 ตำแหน่ง

 

ส่วนระบบความปลอดภัยและช่วยเหลือการขับขี่ ที่นอกเหนือจากความปลอดภัยเดิม ๆ ก็คือ ระบบเตือนก่อนการชน IFCW (Intelligent Forward Collision Warning) ระบบช่วยเบรกฉุกเฉิน IEB (Intelligent Emergency Braking ระบบเตือนจุดอับสายตา Blind Spot Warning ระบบเตือนขณะถอยรถ RCTA (Rear Cross Traffic Alert)

 

กล้องมองภาพรอบคัน IAVM (Intelligent Around View Monitor) ระบบตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนวัตถุ/บุคคล เคลื่อนไหวจากกล้องรอบคัน MOD (Moving Object Detection) ระบบช่วยควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว VDC ( Vehicle Synamic Control) นอกจากนี้ยังมีระบบเชื่อมต่อ Nissan Connect Services ฟรี 3 ปี

 

สรุปโดยภาพรวมกับ Nissan Almera Minorchange นี้ต้องบอกเลยว่าปรับแล้วดูดีขึ้น ห้องโดยสารดูหรูหราน่าใช้งานมากขึ้น การเพิ่มออปชันรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมาย ก็เรียกได้ว่าครบแล้วกับรถอีโคคาร์แรง ๆ คันหนึ่ง

 

ใครที่ยังไม่พร้อมจะไปรถยนต์ไฟฟ้า ก็ลองหันมาดูอัลเมร่ากันก่อน เพราะด้วยเทคโนโลยีที่ให้มา พลังเครื่องยนต์ที่มีให้อย่างเหลือเฟือ และอัตราการบริโภคน้ำมันก็ต่ำ ก็น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีในราคาเริ่มต้น 589,000 บาท และตัวท็อปไม่ถึง 7 แสนบาท ก็เหมาะที่จะเป็นรถยนต์ที่ใช้งานกันได้ยาว ๆ และเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมาก ๆ

 

Scroll to Top