เอ็มจี เปิดตัว ALL NEW MG3 HYBRID+ ราคาหลักแสน ออปชันหลักล้าน

Spread the love

 

เอ็มจี เปิดตัว ALL NEW MG3 HYBRID+ บุกตลาด B-Segment พร้อมสร้างจุดเปลี่ยนให้กับวงการไฮบริด ในฐานะรถยนต์ไฮบริดที่มีสมรรถนะสูงภายใต้คอนเซ็ปต์ “อิสระพลัสเวล” ยนตรกรรมที่พลัสมาให้ครบ แรง ขับสนุก ประหยัดเหนือชั้น ล้ำหน้าด้วยเทคโนโลยีไฮบริดอัจฉริยะ

 

โดดเด่นด้วยดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ ที่ผสานระหว่างความสปอร์ตและคล่องตัวในสไตล์รถแฮทช์แบ็ก ด้วยการดีไซน์ไฟหน้าแบบใหม่ Hunter Eye Headlamp หรือ ดวงตานักล่า ที่ดูโฉบเฉี่ยว พร้อมกระจังหน้าแบบใหม่

 

ไฟท้ายได้รับแรงบันดาลใจจากปีกผีเสื้อ สะท้อนถึงการเคลื่อนไหวที่คล่องตัว เส้นสายการออกแบบรอบตัวถังเน้นความโค้งมนตามแบบฉบับของ เอ็มจี ระยะความยาวฐานล้อ 2,570 มิลลิเมตร ระยะต่ำสุดจากพื้น 117 มิลลิเมตรมิติตัวถัง 4,113 x 1,797 x 1,502 มิลลิเมตร (ยาว x กว้าง x สูง)

 

 

ไฟหน้า แบบ LED พร้อมระบบเปิด-ปิด, ไฟหน้าอัตโนมัติ, ไฟท้ายและไฟเบรกดวงที่สาม, ไฟตัดหมอกหลัง, ไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวัน (Daytime Running Lights), กระจกมองข้างปรับไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยว และพับอัตโนมัติ, ระบบปัดน้ำฝนด้านหน้าแบบอัตโนมัติ พร้อมใบปัดน้ำฝนด้านหลัง, ล้ออัลลอยด์ขนาด 16 นิ้ว

 

ภายใน ALL NEW MG3 HYBRID+ ถือเป็นรถที่กว้างที่สุดในคลาสเดียวกัน โดยเฉพาะห้องสัมภาระท้ายจุได้ มากถึง 293 ลิตร และเมื่อพับเบาะสามารถจุได้มากถึง 1,037 ลิตร, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันหุ้มหนัง พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียงพร้อมปุ่มรับ – วางสายโทรศัพท์, กระจกไฟฟ้า One Touch Up-Down ด้านผู้ขับขี่, หน้าจอแสดงผลอัจฉริยะแบบดิจิตอลขนาด 7 นิ้ว (Digital Multi – Function Display) และหน้าจอสีระบบสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว

 

ลำโพง 6 จุด, ช่องใส่ของภายในห้องโดยสาร 25 จุด, เบาะนั่งคนขับปรับ 6 ทิศทาง และเบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับ 4 ทิศทาง, ที่พักแขนด้านหน้า และเบาะนั่งด้านหลังพนักพิงพับได้, ช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง, รองรับระบบเชื่อมต่อมัลติมีเดีย Apple CarPlay และสมาร์ทโฟนระบบ Android แบบไร้สาย, ระบบกุญแจรีโมทอัจฉริยะ (Smart Key) พร้อมปุ่ม Push Start, ระบบปรับอากาศแบบดิจิตอล, ระบบกรองอากาศ PM 2.5

 

 

ALL NEW MG3 HYBRID+ ซึ่งให้กำลังมากที่สุดในคลาสเดียวกัน ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 102 แรงม้า (75 กิโลวัตต์) ผสานการทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 136 แรงม้า (100 กิโลวัตต์) แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร แรงสุดในกลุ่ม B-Segment สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาเพียง 8 วินาที

 

และอัตราเร่ง 80-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในเวลาเพียง 5 วินาที ผลลัพธ์จากเทคโนโลยีไฮบริดใหม่ของ เอ็มจี อย่างระบบ HYBRID+ กับ 8 โหมดขับเคลื่อนที่จะมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ประหยัดน้ำมันสามารถวิ่งได้ไกลกว่า 800 กิโลเมตร และ ขับสนุกที่สุดในคลาส

 

การทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว DVVT 102 แรงม้า และมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ High-performance Permanent Magnet Synchronous Motors กำลังสูงสุด 136 แรงม้า ให้ขุมพลังรวมสูงสุดถึง 194 แรงม้า (143 กิโลวัตต์) แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร

 

 

แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนขนาดใหญ่ ในรูปแบบ Cell-To-Pack ความจุ 1.83 kWh ซึ่งมีความจุมากที่สุดในรถขนาดเดียวกัน โหมดการขับขี่ 3 รูปแบบ ได้แก่ ECO, NORMAL, SPORT ระบบส่งกำลัง Hybrid Transmission ขับเคลื่อนด้วยเกียร์ไฟฟ้าแบบ E-AT 3 อัตราทดเกียร์ ปรับการทำงานแบบอัตโนมัติ ระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) 3 ระดับ ได้แก่ มาก ปานกลาง และน้อย

 

รัศมีวงเลี้ยว 5.2 เมตร, ระบบพวงมาลัยแร็คแอนด์พิเนียน ควบคุมด้วยไฟฟ้า (EPS), ระบบช่วงล่างหน้า MacPherson Strut พร้อมเหล็กกันโคลง, ระบบช่วงล่างหลัง Torsion Beam, ดิสก์เบรกหน้าพร้อมช่องระบายความร้อน และดิสก์เบรกหลัง

 

ALL NEW MG3 HYBRID+ มาพร้อมโครงสร้างตัวถังนิรภัยแบบ FSF (Full Space Frame) เพียบพร้อมด้วยระบบความปลอดภัยมาตรฐาน ADVANCED SYNCHRONIZED PROTECTION SYSTEM ซึ่งรวม ระบบADVANCED DRIVER ASSISTANCE SYSTEM (ADAS) หรือระบบอำนวยความสะดวกช่วยควบคุมการขับขี่ และลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุจำนวน 8 ระบบ พร้อมระบบเบรกอัจฉริยะ (Intelligent Brake System)

 

ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB (Electronic Parking Brake), ระบบป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH (Auto Vehicle Hold), ระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-lock Braking System) พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake Force Distribution), ระบบเสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist), ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้งด้วยความเร็ว XDS (Electronic Differential System)

 

 

ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System), ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System), ระบบสัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal), ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control), ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist)

 

ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนพร้อมปรับองศาพวงมาลัยหากออกนอกเลน ELK (Emergency Lane Keeping System) โดยผสานรวมระบบช่วยควบคุมรถเมื่อรถออกนอกเลน LDP (Lane Departure Prevention) ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane Keep Assist) และ ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning) เข้าไว้ด้วยกัน

 

ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning), ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB (Autonomous Emergency Braking), ระบบตรวจจับพฤติกรรมการขับขี่ UDW (Unsteady Driving Warning), ระบบควบคุมความเร็วรถอัตโนมัติ ICA (Intelligent Cruise Assist) ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-beam control)

 

ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System), ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย, กล้องรอบคัน 360 องศา แบบ High Definition, จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX, ระบบล็อกประตูอัตโนมัติ (Speed Sensing Door Lock), สัญญาณเตือนระยะถอยหลัง, ระบบกุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer, ระบบไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่อง (FOLLOW ME HOME)

 

ALL NEW MG3 HYBRID+ มีให้เลือก 2 รุ่นย่อย คือ รุ่น D และ รุ่น X โดยมีสีตัวถังให้เลือก 6 สี ได้แก่ สีแดง (Scarlet Red) สีขาว (Arctic White) สีดำ (Black Knight) และสีเทา (Metal Ash Grey) จับคู่กับเบาะสีดำ ในรุ่น D ทั้งยังมีสีให้เลือกเพิ่มเติม คือ สีฟ้า (ST. Moritz Blue) และ สีเหลือง (Pastel Yellow) จับคู่กับเบาะสีทูโทน ในรุ่น X

 

Scroll to Top