เดลล์ เทคโนโลยีส์ เปิดตัว Dell NativeEdge ลดความซับซ้อนระบบเอดจ์

Spread the love

 

เดลล์ เทคโนโลยีส์ เปิดตัว Dell NativeEdge แพลตฟอร์มซอฟต์แวร์การปฏิบัติการระบบเอดจ์ ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้ธุรกิจลดความซับซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพการปรับใช้ระบบเอดจ์ที่ปลอดภัย

ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถเพิ่มความคล่องตัวให้กับการดำเนินงานของเอดจ์ที่อยู่บนอุปกรณ์จำนวนนับหลายพันชิ้นและจุดติดตั้งในการทำงานที่มีทั้งหมดตั้งแต่เอดจ์ไปสู่ศูนย์กลางที่ดาต้าเซ็นเตอร์ไปจนถึงบนมัลติ-คลาวด์

เกิดขึ้นตามคำมั่นสัญญาของ Project Frontier Dell NativeEdge คือเป็นไปเป็นแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ปฏิบัติการระบบเอดจ์เพียงหนึ่งเดียวของอุตสาหกรรมที่ให้การออนบอร์ดอุปกรณ์ที่สามารถปรับขนาดของสเกลได้ พร้อมการจัดการจากระยะไกล และการปลอดภัยตามขนาด การจัดการระยะไกล และการทำงานประสานกัน (orchestration) ของมัลติ-คลาวด์แอปพลิเคชัน

สร้างขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อขับเคลื่อนการใช้งานเอดจ์ขององค์กรด้วยการปรับใช้แบบ zero-touch และการออกแบบให้เป็นระบบเปิด ผสานรวมเข้ากับฮาร์ดแวร์ในรูปแบบต่างๆ ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ครบวงจรแบบ end-to-end ที่มีทั้งหมดของเดลล์ ด้วยความสามารถของ Zero Trust ที่อยู่ภายใน Dell NativeEdge จึงช่วยลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยด้วยการให้การปกป้องแอปพลิเคชันและโครงสร้างพื้นฐานของลูกค้าที่มีใน edge estate ทั้งหมด

เจฟฟ์ คลาร์ค รองประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วมฝ่ายปฏิบัติการ เดลล์ เทคโนโลยีส์ กล่าวว่า การย้ายข้อมูลมีความซับซ้อนและมีราคาแพง ซึ่งส่งผลให้เกิดสถาปัตยกรรมแบบกระจายจำนวนมหาศาลที่ทำให้ยากต่อการจัดการ การทำโพรวิชันนิ่ง และทำให้เป็นอัตโนมัติ จากการที่ลูกค้าของเราต้องการเพิ่มเวิร์กโหลดใหม่ ๆ และการใช้งาน AI ที่เอดจ์

ลูกค้าเหล่านี้จะหันมาที่เดลล์เพื่อหาวิธีที่ง่ายกว่าและหนทางที่มีประสิทธิภาพที่มากขึ้นในการจัดการและรักษาความปลอดภัยให้กับระบบนิเวศของเทคโนโลยีเอดจ์และแอปพลิเคชั่น

“Dell NativeEdge จับพวกเขาวางไว้ในที่นั่งคนขับเพื่อที่พวกเขาจะสามารถจัดการ และปรับเปลี่ยน edge estate ทั้งหมดให้เรียบง่ายด้วยโซลูชันเพียงหนึ่งเดียว เพื่อให้ทั้งประสบการณ์ ผลิตภัณฑ์ และผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม”

เจนนิเฟอร์ คุค ผู้อำนวยการฝ่ายการวิจัยด้าน Edge Strategies ไอดีซี กล่าวว่า กรณีการใช้งานสำหรับเวิร์กโหลดเอดจ์ที่ทันสมัยมีความหลากหลายและกำลังเติบโตเป็นอย่างมาก ทำให้สร้างสภาพแวดล้อมโครงสร้างพื้นฐานและการดำเนินการที่เอดจ์ที่ซับซ้อนมากขึ้น

“การเปิดตัว Dell NativeEdge ของเดลล์ ได้นำเสนอโซลูชันใหม่ที่น่าสนใจที่ช่วยแก้ปัญหาความซับซ้อนนี้ รวมถึงปัญหาด้านความปลอดภัยหลายประการที่เกิดขึ้นจากการปรับใช้อุปกรณ์และแอปพลิเคชันที่เอดจ์ ด้วยซอฟต์แวร์ที่ครอบคลุมที่มีเป้าหมายในการช่วยให้ลูกค้าสามารถเพิ่มความคล่องตัวให้กับการดำเนินงานของระบบเอดจ์”

ตัวอย่างเช่น ผู้ผลิตรายใหญ่อาจต้องการทำการบรรจุหีบห่อและจัดส่งโดยอัตโนมัติไปยังไซต์ของโรงงานที่มีเป็นจำนวนมากในพื้นที่ที่แตกต่างกันหลายแห่ง นั่นหมายถึงการเชื่อมต่อเทคโนโลยีต่างๆ เข้าด้วยกัน

อาทิ IoT การสตรีมมิ่งข้อมูลและตรวจสอบทางกายภาพของผลิตภัณฑ์ (machine vision) ซึ่งต้องใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ เฉพาะทางเพื่อรันซอฟต์แวร์แอปพลิเคชันจำนวนมากทั่วโลเคชันที่มีทั้งหมด การทดสอบและปรับใช้โครงสร้างพื้นฐานเพื่อเรียกใช้แอปพลิเคชันอาจใช้เวลานานหลายเดือน

ดังนั้น การใช้ Dell NativeEdge จะทำให้ผู้ผลิตสามารถรวมสแต็คของเทคโนโลยีที่มีเข้าด้วยกันด้วยการลงทุนที่มีอยู่เดิม และลดเวลาในการปรับใช้สินทรัพย์เอดจ์และแอปพลิเคชันจากหลายเดือนเหลือเพียงไม่กี่สัปดาห์

แพลตฟอร์มนี้ใช้ระบบอัตโนมัติเพื่อสร้างความคล่องตัวให้กับการดำเนินงานของระบบเอดจ์ และช่วยให้ผู้ผลิตสามารถนำแอปพลิเคชันใหม่ๆ เข้ามาใช้ที่ไซต์งานทั้งหมดได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัยจากส่วนกลาง

เดลล์ศึกษาลูกค้าขนาดใหญ่จำนวนเกือบ 100 ราย เพื่อตรวจสอบผลกระทบเชิงเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นจากการปรับใช้ NativeEdge สำหรับลูกค้าที่เป็นผู้ผลิตที่มีโรงงานเฉลี่ย 25 แห่ง การลงทุนสามปีใน NativeEdge ช่วยจัดการ 75% ของสินทรัพย์เอดจ์ขององค์กรด้านการผลิตแสดงให้เห็นว่าลูกค้าสามารถบรรลุการดำเนินงานดังนี้

· ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนสูงถึง 130% จากการปรับใช้ Dell NativeEdge

· การลดระยะเวลาที่จำเป็นต้องใช้ในการนำอุปกรณ์ต่างๆ มาออนบอร์ดได้ถึง 20 นาทีสำหรับการจัดการสินทรัพย์โครงสร้างพื้นฐานเอดจ์ในแต่ละส่วน อีกทั้งยังลดความเสี่ยงขององค์กรได้อย่างมากซึ่งส่งผลในการประหยัดค่าใช้จ่าย

· เพิ่มความเร็วให้กับการปรับใช้ edge asset พร้อมทั้งลดต้นทุนการดำเนินการของระบบเอดจ์ด้วยการทำโพรวิชันนิ่งแบบ zero touch

· ประหยัดค่าขนส่งโดยลดความจำเป็นในการจัดส่งการสนับสนุนไปยังพื้นที่งาน (site-support) ซึ่งส่งผลในการลดเวลาในการเดินทาง อีกทั้งยังเป็นการลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 14 เมตริกตัน

เดลล์ขยายโซลูชัน retail edge ด้วย Dell Validated Design for Retail ใหม่ ด้วยระบบอัตโนมัติอัจฉริยะ inVia Robotics การสั่งซื้อทางออนไลน์และการจัดส่งแบบไม่มีหน้าร้านสร้างภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้นให้กับผู้ค้าปลีก

โซลูชันใหม่นี้ใช้ซอฟต์แวร์และระบบอัตโนมัติเพื่อช่วยให้พนักงานค้าปลีกสามารถหยิบสินค้า บรรจุหีบห่อ ดำเนินการขนส่งและจัดส่งในขั้นตอนสุดท้ายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยการแปลงคลังสินค้าและพื้นที่ค้าปลีกที่มีอยู่ให้เป็นศูนย์การเติมเต็มขนาดเล็ก ด้วยเทคโนโลยีที่ง่ายต่อการจัดการในสถานที่ค้าปลีกต่างๆ ที่ซึ่งข้อมูลถูกสร้างขึ้น

ผู้ค้าปลีกสามารถให้พนักงานค้นหาเส้นทางและหยิบสินค้าตามคำสั่งซื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลต่อการปรับปรุงเวลาการปฏิบัติตามคำสั่งซื้อและประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานอย่างมีนัยสำคัญ

โซลูชันโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับการทดสอบล่วงหน้า รับรองความถูกต้องและสนับสนุนโดยเดลล์ ทำให้ไอทีและแอปพลิเคชันค้าปลีกที่ล้ำสมัยอยู่ในสแต็กโครงสร้างพื้นฐานชุดเดียวเพื่อการปรับใช้ การจัดการ และการสนับสนุนที่มีประสิทธิภาพ

ลูกค้าจะสามารถนำโซลูชันนี้ไปใช้งานบนเซิร์ฟเวอร์ Dell PowerEdge พร้อมทางเลือกในการจัดการแบบรวมศูนย์ ซึ่งรวมถึง Linux, Microsoft Azure Stack HCI และ VMware Edge Compute Stack โซลูชันนี้มอบเส้นทางที่เรียบง่ายและยืดหยุ่นแก่ลูกค้าสู่ระบบค้าปลีกอัตโนมัติอัจฉริยะ

ด้วยจำนวน 81% ของบริษัทที่ติดอันดับ Fortune 100 ที่ใช้โซลูชันเอดของเดลล์ เดลล์ยังคงเสริมความแกร่งให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้วยโซลูชันใหม่ และความสามารถใหม่ๆ เพื่อช่วยให้ลูกค้าลดความซับซ้อนและได้รับมูลค่าเพิ่มมากขึ้นจากระบบเอดจ์

· Dell Private Wireless ด้วย Airspan และ Druid คือโซลูชันไพรเวทไวร์เลสที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว ซึ่งช่วยให้องค์กรมีการเชื่อมต่อไร้สายที่เชื่อถือได้และปลอดภัยสำหรับเทคโนโลยีเอดจ์ในระยไกลจำนวนหลายพันรายการ ทั้ง อุปกรณ์ต่างๆ และเซ็นเซอร์ซึ่งกระจายอยู่ตามโลเคชั่นต่างๆ ของเอดจ์

ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งของ Dell Private Wireless Program โซลูชันนี้ให้ทางเลือกในระบบไพรเวทไวร์เลสสำหรับองค์กร โซลูชันนี้สามารถบูรณาการเข้ากับระบบเอนเทอร์ไพรซ์ไอทีและระบบปฏิบัติการ (OT) ได้อย่างง่ายดาย และยังรวมถึงการซัพพอร์ต การใช้งานที่ปรับแต่งได้ และการจัดการแบบครบวงจร

· Enterprise SONiC Distribution by Dell Technologies 4.1 ระบบปฏิบัติการเครือข่ายแบบโอเพ่นซอร์สที่ปรับสเกลการทำงานได้บนสวิตช์ของเดลล์l ขยายคุณสมบัติของดาต้าเซ็นเตอร์เน็ตเวิร์กไปสู่การปรับใช้ระบบเอดจ์ รวมถึง User Container Support (UCS) และ telemetry ที่ให้ fabric visibility การรักษาความปลอดภัย และประสิทธิภาพที่ดีขึ้น

ทั้งนี้ โซลูชัน SONiC ของเดลล์ มอบระบบปฏิบัติการเครือข่ายเดียวที่รวมความยืดหยุ่นของระบบนิเวศที่มีผู้จำหน่ายหลายรายเข้ากับความเรียบง่ายของชุดเครื่องมือโอเพ่นซอร์ส เพื่อช่วยให้ลูกค้าลดความซับซ้อนในการจัดการวงจรชีวิตของเน็ตเวิร์คแฟบริคและหลีกเลี่ยงการล็อคอินของเวนเดอร์

· Dell ProDeploy Flex คือบริการการปรับใช้ในรูปแบบโมดูลาร์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเร่งความเร็วในการสร้างมูลค่านับตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการใช้งานให้กับลูกค้า ด้วยธรรมชาติที่ยืดหยุ่นของบริการช่วยให้ลูกค้าสามารถปรับแต่งรูปแบบการใช้งานระบบเอดจ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพตามต้องการเพื่อประโยชน์สูงสุดจากทั้งโครงสร้างพื้นฐานเอดจ์และแอปพลิเคชันเอดจ์ของตัวเอง

เดลล์ยังคงเดินหน้าในการขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์โซลูชันเอดจ์อย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยลูกค้าเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการเวิร์กโหลดและดาต้าด้วยแผนงานต่างๆ ในการส่งมอบโซลูชันเอดจ์ของเดลล์ที่เพิ่มมากขึ้นในรูปแบบของการบริการ (as a service)เพื่อสนองตอบความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปทางด้าน IT

การขยายระบบนิเวศของพันธมิตรด้านเอดจ์ของเดลล์จ์ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จต่อความสำเร็จของลูกค้า ด้วยโปรแกรม Dell Edge Partner Certification Program ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์อิสระ (ISVs) ซิสเต็ม อินทิเกรเตอร์ (Si) และพันธมิตร OEM จะสามารถทดสอบและตรวจสอบความถูกต้องของแอปพลิเคชันซอฟต์แวร์บน Dell NativeEdge เพื่อส่งมอบโซลูชันโครงสร้างพื้นฐานเอดจ์แบบบูรณาการให้กับลูกค้า

Scroll to Top