LG เดินตามแผน “ก้าวข้ามขีดจำกัด” สู่ FUTURE VISION 2030

Spread the love

 

LG ประกาศแผนดำเนินงานเพื่อการบรรลุเป้าหมาย “FUTURE VISION 2030” พร้อมด้วยแนวทางและนโยบายจัดการโครงสร้างองค์กร ที่เน้นการ “ก้าวข้ามขีดจำกัด”

 

วิลเลียม โช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกลุ่มผู้บริหารระดับสูงของแอลจี อิเลคทรอนิคส์ (แอลจี) ได้ประกาศกลยุทธ์ธุรกิจ เพื่อการบรรลุเป้าหมาย “FUTURE VISION 2030” ภายในงานแถลงข่าวที่ลาสเวกัส รัฐเนวาดา ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยได้ระบุถึง 3 จุดเปลี่ยนสำคัญที่จะพลิกโฉมธุรกิจและประสบการณ์ที่ลูกค้าแอลจีจะได้รับ ได้แก่ การใช้พลังงานไฟฟ้า การให้บริการ และการเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีดิจิทัล

 

ทั้งนี้แอลจีมีความพยายามที่จะก้าวผ่านความท้าทายต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งรวมไปถึงเรื่องของความไม่แน่นอนของตลาดและซัพพลาย ด้วยการเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญกับผลลัพธ์เป็นหลักและมีจิตวิญญาณแห่งผู้ชนะ ถ้าปี 2566 เป็นปีแห่งการกำหนดทิศทางการเปลี่ยนแปลงใหม่ของแอลจี เราก็จะทำให้ปี 2567 เป็นปีที่เร่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ให้เกิดขึ้นจริง โดยวิสัยทัศน์ ‘Future Vision 2030’ ถือเป็นคำมั่นสัญญาของเราที่มีต่อตลาด และลูกค้าของเรา และพวกเราจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำให้คำมั่นสัญญาเป็นความจริง

 

นอกจากนี้ยังได้ประกาศในปีที่แล้วว่า “Future Vision 2030” จะเป็นเป้าหมายระยะยาวที่จะเปลี่ยนแอลจีเป็นบริษัท ‘Smart Life Solution Company’ ที่ช่วยเชื่อมต่อและขยายประสบการณ์ของลูกค้าให้ครอบคลุมพื้นที่ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงพื้นที่ในบ้าน พื้นที่การค้า ยานพาหนะ และโลกเสมือนจริง

 

สร้างการแข่งขันในอนาคตด้วยการลงทุน

 

อีกทั้งยังได้เน้นข้อความสำคัญในเรื่องการ ‘ก้าวข้ามขีดจำกัด’ ทั้งยังเป็นปรัชญาพื้นฐานของนโยบายการบริหารในปี 2567 โดยได้กำหนดประเด็นสำคัญ 3 เรื่องสำหรับการเติบโตในอนาคต ได้แก่ โมเดลธุรกิจที่ไม่ใช้ฮาร์ดแวร์ การขยายธุรกิจแบบ B2B และการพัฒนาธุรกิจใหม่ โดยแอลจีจะทุ่มเทอย่างเต็มที่ในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับพอร์ทโฟลิโอของบริษัทต่อไป

 

ทั้งนี้ บริษัทจะเริ่มต้นการเพิ่มศักยภาพในการขับเคลื่อนการเติบโต ด้วยการขยายการลงทุนตามลำดับสำคัญของกลยุทธ์ทางธุรกิจ โดยในปีนี้ แอลจีจะเพิ่มการลงทุนเป็นเท่าตัว คิดเป็นงบประมาณกว่า 8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการลงทุนด้านการวิจัยและส่วนสำคัญด้านอื่น เพื่อพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน และการก้าวไปข้างหน้าขององค์กร

 

การเติบโตและผลกำไรที่สูงขึ้นของกลุ่มธุรกิจหลักของแอลจี ส่งผลให้ในปี 2567 เราจะได้เห็นการลงทุนที่สูงขึ้น ทั้งในส่วนของธุรกิจ B2B ได้แก่ ธุรกิจชิ้นส่วนรถยนต์ HVAC เครื่องใช้ไฟฟ้าแบบบิ้วท์อิน ป้ายดิจิทัล และยังรวมไปถึงส่วนธุรกิจที่ใช้แพลตฟอร์ม webOS เป็นต้น และลงทุนธุรกิจใหม่ ๆ เช่น ธุรกิจรถยนต์พลังงานไฟฟ้า และธุรกิจเกี่ยวกับหุ่นยนต์ ซึ่งแอลจีมีแผนจะลงทุนเป็นมูลค่าสูงกว่า 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2573 เพื่อเปลี่ยนแปลงพอร์ทโฟลิโอของบริษัทและการเติบโตอย่างมีคุณภาพขององค์กร

 

นอกจากนี้ ในช่วงต้นปี แอลจียังมองหาโอกาสการเติบโตอื่น ๆ ทั้งจากการควบรวมกิจการ การซื้อกิจการ การเป็นหุ้นส่วนในกิจการต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงการปรับใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นการเติบโตจากภายใน นอกจากนี้ แอลจีจะยังให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีที่จะมาปฏิวัติวงการและสามารถเพิ่มมูลค่าให้แก่ลูกค้าของเรา เช่น เทคโนโลยี AI หรือ Mixed Reality (MR)

 

การจัดตั้งบริษัทใหม่ คือ Overseas Sales and Marketing Company ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีค่าในการช่วยให้แอลจี “ก้าวข้ามขีดจำกัด” และยังเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้แอลจีประสบความสำเร็จในระดับโลก โดยสามารถทำยอดขายคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 2 ใน 3 จากยอดขายทั้งหมด บริษัทใหม่นี้ใช้กลยุทธ์แบบเฉพาะเจาะจงพิเศษที่คำนึงถึงความแตกต่างของตลาดในแต่ละภูมิภาค ซึ่งธุรกิจดังกล่าวยังได้เพิ่มศักยภาพให้กับผลประกอบการของธุรกิจทั่วโลก และยังมีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพ และการเติบโตให้กับบริษัทในเครือของแอลจีในต่างประเทศอีกด้วย

 

บรรลุเป้าหมาย ‘Triple Seven’ 

 

ในส่วนของธุรกิจบริการด้านแพลตฟอร์มพื้นฐาน ธุรกิจ B2B และกลุ่มธุรกิจใหม่ ๆ ที่เป็นตัวผลักดันหลักสามด้านของแอลจี ทางบริษัทได้ตั้งเป้าที่จะบรรลุเป้าหมาย ‘Triple Seven’ หรือการเติบโตเฉลี่ยและผลกำไรจากการดำเนินงานตั้งแต่ 7% ขึ้นไป รวมถึงเพิ่มมูลค่าองค์กรตามหน่วยวัด EBITDA ให้อยู่ที่ระดับ 7

 

แม้ว่าความต้องการทางการตลาดในปีที่ผ่านมาจะลดลง แต่แอลจีมีผลการเติบโตที่น่าประทับใจจากการเติบโตของธุรกิจในกลุ่ม B2B โดยตลอด 5 ปีที่ผ่านมาอัตราการเติบโตโดยรวมของธุรกิจ B2B ของแอลจีมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยเป็นเลขสองหลัก และมีอัตราการเติบโตต่อปีของยอดขายโดยรวมอยู่ที่ประมาณ 8%

 

กลุ่มธุรกิจโซลูชันส่วนประกอบยานยนต์ Vehicle component Solutions (VS) ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจหลักของแอลจี โดยมียอดขายทั้งปีสูงถึง 8 พันล้านเหรียญสหรัฐ จากการดำเนินธุรกิจมาเป็นเวลานานถึง 10 ปี โดยเทรนด์การเปลี่ยนไปใช้งานรถพลังงานไฟฟ้า (EV) ทั่วโลก ทำให้มีความต้องการชิ้นส่วน EV มูลค่าสูงเพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นหนึ่งในด้านที่แอลจีมีความเชี่ยวชาญ

 

ทั้งนี้ มีการคาดการณ์ว่ากลุ่มธุรกิจระบบความบันเทิงภายในรถยนต์ (IVI) ระบบส่งกำลังไฟฟ้า และระบบส่องสว่างในยานยนต์ของกลุ่มธุรกิจ VS จะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว โดยในปี 2567 บริษัทจะเน้นให้ความสำคัญกับเรื่องศักยภาพจากซอฟต์แวร์ในยานพาหนะ การขยายฐานลูกค้าในกลุ่มชิ้นส่วนรถยนต์ EV รวมถึงการเสริมความเป็นผู้นำในตลาดหลอดไฟอัจฉริยะ และเพื่อตอบสนองยอดสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น บริษัทจะเพิ่มกำลังการผลิตในภูมิภาคอเมริกากลาง อเมริกาใต้ และยุโรป

 

ธุรกิจ HVAC (Heating, Ventilation, and Air-conditioning) เป็นอีกหนึ่งธุรกิจ B2B ของแอลจีที่มีความสำคัญและมีการเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดใหม่ เช่น ภูมิภาคเอเชีย อเมริกากลาง และอเมริกาใต้ รวมถึงยังได้พบโอกาสธุรกิจใหม่ ๆ ในตลาดภูมิภาคยุโรปและอมเริกาเหนือ ซึ่งมีความต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีประสิทธิภาพสูงอย่างแข็งแกร่ง

 

โดยกลุ่มธุรกิจ HVAC ของแอลจี เล็งเห็นถึงโอกาสในการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนเทคโนโลยีชั้นสูงเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข็งขัน เช่น มอเตอร์และคอมเพรสเซอร์ต่าง ๆ เป็นต้น โดยหลังจากก่อตั้งกลุ่มความร่วมมือเพื่อการวิจัยด้านปั๊มความร้อนขั้นสูงในอลาสกา สหรัฐอเมริกา เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา แอลจีวางแผนที่จะสร้างฐานวิจัยอีกหนึ่งแห่งในยุโรปในปีนี้ และตั้งใจที่จะขยายธุรกิจด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศแบบใหม่ เช่น Dedicated Outdoor Air System หรือระบบปรับอากาศโดยการนำอากาศภายนอกสู่ภายในอาคาร เป็นต้น

 

เนื่องจากธุรกิจในกลุ่ม B2B เป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจน้อยกว่าธุรกิจในกลุ่ม B2C แอลจีจึงให้การสนับสนุนธุรกิจ B2B เพื่อรักษาเสถียรภาพด้านยอดขายและกำไร โดยแอลจีได้ประกาศแผนการขยายธุรกิจ B2B และกำลังพยายามเพิ่มยอดขายให้มากกว่า 32,000 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2573 ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่หลากหลาย และสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้นให้กับโซลูชันต่างๆ

 

แอลจีมุ่งจะปฏิวัติโมเดลธุรกิจในภาพรวม เพื่อเจาะตลาดที่นอกเหนือไปจากผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์ เช่น คอนเทนต์ บริการต่างๆ และธุรกิจในระบบสมัครสมาชิกต่าง ๆ เพื่อเสริมการใช้งานกับเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านและโทรทัศน์ที่แอลจีผลิตอยู่แล้ว โดยแอลจีคาดว่าจะสามารถเพิ่มกำไรและยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง จากผลิตภัณฑ์แอลจีที่ผู้บริโภคทั่วโลกใช้งานเป็นแพลตฟอร์มมากกว่าร้อยล้านชิ้น

 

โดยให้สอดคล้องกับความมุ่งมั่นดังกล่าว กลุ่มธุรกิจโฮมเอ็นเตอเทนเมนต์ (HE) ยังคงมุ่งมั่นให้บริการด้านแพลตฟอร์มสำหรับข่าวสารและสื่อบันเทิง อีกทั้งยังเร่งการเติบโตในการพัฒนาธุรกิจในกลุ่มแพลตฟอร์ม webOS ให้เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยกลุ่มธุรกิจ HE ได้เสริมความแข็งแกร่งให้แก่โครงสร้างพื้นฐานของธุรกิจแพลตฟอร์ม ด้วยการขยายอีโคซิสเต็มของ webOS เข้ากับ smart monitors ระบบ IVI systems และรองรับโทรทัศน์แบรนด์ต่าง ๆ โดยแอลจีคาดว่าธุรกิจแพลตฟอร์ม webOS มีศักกายภาพที่จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคตอันใกล้

 

ความสำเร็จของกลุ่มธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและระบบแอร์ (H&A) ยังมีบทบาทสำคัญในการช่วยสนับสนุนการพลิกโฉมองค์กรแอลจีทั่วโลก โดยกลุ่มธุรกิจ H&A กำลังพัฒนาธุรกิจโซลูชันบ้านอัจฉริยะ เพื่อรวมการให้บริการและการสมัครสมาชิกเข้าไว้ด้วยกัน โดยเป้าหมายสูงสุดของบริษัท H&A คือการทำให้วิสัยทัศน์ “ลดเวลาทำงานบ้านเพื่อสร้างเวลาคุณภาพ” (Zero Labor Home, Makes Quality Time) ให้เป็นความจริง ซึ่งเป็นมากกว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ที่ทำให้การใช้ชีวิตในบ้านง่ายและสะดวกกว่าที่เคย

 

ธุรกิจการสมัครสมาชิกที่เป็นบริการเสริมจากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านของแอลจีในชีวิตประจำวันได้อย่างคลอบคลุม กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดประเทศเกาหลีใต้ และกำลังอยู่ในช่วงการขยายบริการไปยังต่างประเทศ ซึ่งตลาดภูมิภาคเอเชียจะเป็นแห่งแรกนอกประเทศเกาหลีใต้ที่ได้ใช้บริการเทคโนโลยีนี้

 

ในส่วนของยอดขายแอลจีจากธุรกิจในกลุ่มที่ไม่ใช่ฮาร์ดแวร์ อย่างเช่น บริการคอนเทนต์บนแพลตฟอร์ม webOS ธุรกิจการให้บริการ และธุรกิจการสมัครสมาชิกของผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา

 

นอกจากนี้แอลจียังจะเน้นการโปรโมทสินทรัพย์ที่ไม่สามารถจับต้องได้อย่างสิทธิบัตรเบื้องต้นของแอลจีในด้านเทคโนโลยีซึ่งรวมถึงเทคโนโลยีการสื่อสาร สื่อ อุปกรณ์พกพา รวมไปถึง เครือข่าย IoT และในช่วงการจัดโครงสร้างองค์กรใหม่เมื่อไม่นานมานี้ ยังมีการก่อตั้งธุรกิจใหม่ที่เผยแพร่องค์ความรู้ในการสร้างโรงงานอัจฉริยะอีกด้วย

 

แอลจียังมุ่งสร้างการเติบโตในกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพสูงและมีรูปแบบการการทำงานประสานกันที่ดี เช่น LG NOVA จะเพิ่มทุนให้กับสตาร์ทอัพถึง 100 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2567 เพื่อเพิ่มโอกาสให้บริษัทได้คิดค้นเทคโนโลยีและโซลูชันใหม่ ๆ เพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนนวัตกรรมแห่งอนาคต และนำไปสู่ธุรกิจใหม่ๆ

 

เมื่อไม่นานมานี้ แอลจียังได้สร้างธุรกิจด้านการชาร์จพลังงานให้รถพลังงานไฟฟ้า EV แบบครบวงจรที่มีระบบชาร์จและการควบคุมที่ล้ำหน้า การจับสัญญาณรีโมท และการให้บริการ รวมไปถึงการวิเคราะห์แบตเตอรี่รถยนต์ พื้นฐานการผลิตที่แข็งแกร่ง และโครงสร้างพื้นฐานด้านการขาย โดยบริษัทฯ ได้สร้างโรงงานผลิตตัวชาร์จเจอร์ที่สหรัฐอเมริกา เมืองฟอร์ตเวิร์ท รัฐเทกซัส เพื่อเตรียมรุกตลาดอเมริกาเหนือ

 

ในด้านธุรกิจดิจิทัลเพื่อสุขภาพ แอลจียังได้ขยายบริการแพทย์ทางไกลโดยร่วมมือกับ Amwell และยังจะพัฒนาระบบเพื่อให้บริการในด้านการป้องกัน การวินิจฉัยโรค การดูแลหลังการรักษา และการฟื้นฟู นอกจากนี้ เทคโนโลยี Virtual Reality (VR) ยังเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าสนใจซึ่งแอลจีกำลังเตรียมทำอุปกรณ์ด้าน MR ขายในเชิงพาณิชย์ โดยในช่วงท้ายปี 2566 แอลจีได้ก่อตั้งธุรกิจ eXtended Reality ภายใต้เครือบริษัท HE ซึ่งร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ในด้านเทคโนโลยีหลายราย เพื่อพัฒนาโซลูชันด้าน augmented reality (AR)

 

นอกจากนี้ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยีของแอลจี ซึ่งเป็นผู้นำด้านการพัฒนาเทคโนโลยีแห่งอนาคตของแอลจียังอยู่ในระหว่างการพัฒนาโปรแกรมวิจัยเพื่อเสริมความแข็งแกร่งในด้านความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจ และการคิดค้นเทคโนโลยีหลักใหม่ๆ อยู่เสมอ โดยเน้นไปที่เทคโนโลยีใน 8 ด้านหลัก ได้แก่ ซอฟต์แวร์, ระบบบนชิปประมวลผล, ปัญญาประดิษฐ์, หุ่นยนต์, วัสดุและชิ้นส่วน, มาตรฐาน, การประมวลผลยุคใหม่และคลาวด์/ข้อมูล

 

มุ่งสู่ DX จากข้อมูลและการลงทุนระบบ ERP ยุคใหม่

 

แอลจีจะมุ่งส่งมอบประสบการณ์ ‘ครั้งแรก’ ‘ที่ไม่เหมือนใคร’ และ ‘มีความแปลกใหม่’ เพื่อมอบคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นให้แก่ทุกคนด้วยเทคโนโลยี digital transformation (DX) ทั้งนี้ แอลจีเดินหน้าลงทุนในธุรกิจไอทีเพื่อนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับทั้งองค์กร นอกจากนี้แอลจียังสร้าง N-ERP หรือระบบ Next-generation Enterprise Resource Planning เพื่อเชื่อมกระบวนการทางธุรกิจและกระบวนการทำงาน รวมถึงระบบต่างๆ เข้าด้วยกัน

 

นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยี Intellytics Customer 360 ซึ่งเป็นโปรแกรมในการเก็บรวมรวบข้อมูลของลูกค้าที่รวบรวมข้อมูลจากหลากหลายแห่ง ซึ่งจะเข้ามาช่วยในเรื่องระบบการบริหารจัดการแบบบูรณาการ และจะถูกนำไปใช้ทั่วโลกในปีนี้

 

โครงการ DX ของแอลจียังตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯในการพัฒนาไปมากกว่านวัตกรรมของประสบการณ์ของลูกค้า แต่รวมไปถึงการพัฒนาประสิทธิภาพของห่วงโซ่คุณค่า ตั้งแต่ขั้นตอนการซื้อ การผลิต การขนส่ง ไปจนถึงการขาย โดยในปีที่ผ่านมาแอลจีสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและผลผลิตจากการนำเทคโนโลยี DX มาประยุกต์ใช้กับแต่ละห่วงโซ่คุณค่ารวมเป็นมูลค่ามากกว่า 240 ล้านเหรียญสหรัฐ

 

ตอกย้ำหลักการ ‘Life’s Good’

 

เมื่อพูดคุยกับพนักงาน นายวิลเลียม โช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของแอลจีมักจะอ้างคำพูดของ ปีเตอร์ ดรักเคอร์ นักวิชาการด้านการจัดการชื่อดังชาวอเมริกัน ซึ่งได้กล่าวว่า “วัฒนธรรมทานกลยุทธ์เป็นอาหารเช้า” โดยนายวิลเลียม โช เชื่ออย่างจริงจังว่าวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็งนั้นเป็นสิ่งสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ให้เป็นการดำเนินธุรกิจที่ดี

 

ในช่วง ‘CEO F.U.N. Talk’ กับพนักงานในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา นายวิลเลียม โช ได้ระบุถึงวิสัยทัศน์ของบริษัทในปี พ.ศ. 2567 ซึ่งมีเรื่องการพัฒนาเป็นองค์กรสมรรถนะสูงเป็นหนึ่งในนั้น โดยเขาได้กล่าวว่า “เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ เราจำเป็นต้องเชื่อมโยงภารกิจ วิสัยทัศน์ และเป้าหมายของเราเข้าด้วยกันอย่างละเอียดถี่ถ้วน และให้ความสำคัญกับการดำเนินงานอย่างไม่ย่อท้อ”

 

เพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิด Life’s Good ของแบรนด์แอลจี กิจกรรมแบบบูรณาการที่ครอบคลุมด้านการตลาด สิ่งแวดล้อม สังคม ธรรมาภิบาล (ESG) และกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) จะเริ่มต้นในปีนี้ บริษัทฯ จะเผยแพร่ค่านิยมและปรัชญาเพื่อตอกย้ำแนวคิด Life’s Good ที่มาพร้อมกับความกล้าในการสร้างผลกระทบในเชิงบวก ขณะเดียวกันก็ผสมผสานแบรนด์เข้ากับพลังของความหนุ่มสาว แอลจีคือผู้สร้างนวัตกรรมที่กล้าเผชิญความท้าทาย เชื่อมั่นในการแสวงหาโอกาสในการพัฒนาแม้อยู่ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก และหาทางแก้ปัญหาด้วยการรับฟังและให้ความสนใจกับลูกค้าและตลาดของแอลจี

 

Scroll to Top